Hot Widget

Header ADS
Type Here to Get Search Results !
Header ADS

ตร.ท่องเที่ยวผสานตร.จีนถลายแก็งคอลเซ็นเตอร์ "เครื่อขาย อาซัง"



“ ตำรวจท่องเที่ยว ประสานความร่วมมือกองบัญชาการตำรวจมณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน  บุกทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์เครือข่ายอาซัง ”
ตามนโยบายรัฐบาลและการปฏิบัติการ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  และ พล.อ.ประวิตร       วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำการปราบปรามเครือข่ายแก็งคอลเซนเตอร์และองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่หลอกหลวงประชาชนได้รับความเดือดร้อน

     พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้จัดตั้งศูนย์ป้องกันและปรามปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศป.ฉปทน.ตร.)โดยมอบหมายให้ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการประจำศูนย์ฯ ได้ทำการสืบสวนปราบปรามจับกุมมาอย่างต่อเนื่อง  และได้ติดตามสืบสวนจนทราบว่า มีเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ตั้งอยู่ที่มณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเครือข่ายนี้ยังคอยหลอกลวงประชาชนคนไทยอยู่ มีผู้เสียหายหลายราย จึงได้ประสานความร่วมมือผ่าน นายมงคล สินสมบูรณ์   รักษาการกงศุลใหญ่ ณ เมืองเซี้ยะเหมิน มายังกองบัญชาการตำรวจมณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน
ต่อมาเช้าของวันที่ 27 มีนาคม 2561 พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล
รอง ผบช.ทท./ หัวหน้าชุดปฏิบัติการประจำศูนย์ฯ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประเสริฐ เงินยวง
ผบก.ทท.1 บช.ทท.
พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง
รอง ผบก.ทท.1 บช.ทท.
พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม
รอง ผบก.ทท.2 บช.ทท.
พ.ต.อ.นิธิธร จินตกานนท์
รอง ผบก.สปพ.บช.น.
พ.ต.อ.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย
รอง ผบก.สส.ภ.5
พ.ต.อ.สถิตย์ พรหมอุทัย
รอง ผบก.สส.ภ.2
พ.ต.ท.เขมรินทร์ พิศมัย
รอง ผกก.สส.สน.ห้วยขวาง
พ.ต.ท.อาริศ คูประสิทธิรัตน์
รอง ผกก.สายตรวจ บก.สปพ.บช.น. , พ.ต.ท.นฤวัต พุทธวิโร สว.งานสายตรวจ 1 กก.สายตรวจ บก.สปพ.บช.น., พ.ต.ท.ศิลา ตันตระกูล
สว.ส.ทล.2 กก.3 บก.ทล.บช.ก., พ.ต.ต.พรชัย สุขเจริญ
สว.สส.สน.วัดพระยาไกร บช.น.
ว่าที่ พ.ต.ต.นที คุ้มล้วนล้อม
สว.งานสายตรวจ 2 กก.1 บก.จร.บช.น.ร่วมประชุมหารือ ณ กองบัญชาการตำรวจมณฑลฝูเจี้ยน โดยทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อมูล หลังสืบทราบว่าได้มีแก๊ง call center ตั้งอยู่ที่มณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน
 
 และต่อมา เวลาประมาณ 10.00 น. ภายใต้การประสานงานความร่วมมือของตำรวจไทยและกองบัญชาการตำรวจมณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้บุกเข้าตรวจค้นภายในคอนโดหรู หลงฉวนฮวาถิง  เมืองจางโจว มณฑล      ฝูเจี้ยน ชั้น 17  ห้อง 1703 - 1704 หลังจากทางตำรวจไทยได้มอบข้อมูลสถานที่ตั้งศูนย์สั่งการคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว
        จากการเข้าตรวจค้นภายในบ้านดังกล่าว พบอุปกรณ์ทั้งโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และเครื่องแปลงสัญญาณโทรศัพท์ พร้อมทั้งบัญชีรายชื่อเหยื่อคอลเซ็นเตอร์ ที่ยังอยู่ระหว่างการสื่อสารเพื่อรอโอนเงิน นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังพบโพยรายชื่อเหยื่อและบทพูดแสดงตัว “ร.ต.ท.จำรัส ทองอ่อน และ ร.ต.ท.สมภพ กองสมบัตร เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการภาค 4” รายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงรวมถึงบทพูดคุยระหว่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์กับเหยื่อในแต่ละสายงาน
    นอกจากนี้ยังพบคนไทย ทำหน้าที่เป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเต็มใจมาทำภายในบ้านหลังดังกล่าว 7 คน และชาวไต้หวัน ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้ควบคุมอีก 1 คน
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล
รอง ผบช.ทท.
อธิบายว่า เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์นี้ย้ายถิ่นฐานมาจากประเทศอื่น หลังจากชุดปฏิบัติศูนย์ป้องกันและปรามปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศป.ฉปทน.ตร.) ได้บุกเข้าจับกุมเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างเข้มข้น จึงทำให้อาซังหัวหน้าคอลเซ็นเตอร์นี้ย้ายมาเปิดที่ มณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีนแทน ทำมาประมาณ 1 เดือน เงินหมุนเวียนกว่า 1 ล้านบาท โดยประมาณ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 แก๊งดังกล่าวนี้เพิ่งหลอกหญิงไทย จำนวน 1 ราย ได้เงินไปกว่า 150,000 บาท ในพื้นที่ สน.ราษฎร์บูรณะ
       การทำงานของแก๊งนี้มีลักษณะเหมือนกับกลุ่มแก๊งอื่นโดยมีพนักงานคอลเซ็นเตอร์สายที่ 1 โทรศัพท์หาเหยื่ออ้างว่ามีพัสดุส่งทางไปรษณีย์ ภายในพัสดุนี้มียาเสพติดและมีชื่อเหยื่อเกี่ยวข้อง และจะพยายามพูดจนเหยื่อหลงเชื่อ จากนั้น พนักงานคอลเซ็นเตอร์สายที่ 2 ก็จะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตามบทสนทนาของตน ออกอุบายให้โอนเงินมายังบัญชีธนาคารที่เตรียมไว้ และจะมีชุดกดเงินนำบัตรเอทีเอ็มของธนาคารที่เหยื่อโอนเข้ามา ไปกดเงินตามตู้เอทีเอ็ม แล้วฝากเงินในบัญชีธนาคารนำส่งหัวหน้าแก๊งเพื่อแบ่งเงินตามเปอร์เซ็นต์ที่ได้ตกลงกันไว้ภายในกลุ่มแก๊ง
         พลตำรวจตรีสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่า จุดที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์แห่งนี้ ถือเป็นสุดยอดทำเลที่มีความพร้อมทั้งเรื่องของระบบอินเตอร์เน็ต ที่เป็นระบบใยแก้วนำแสง ทั้งยังเป็นแหล่งอุตสาหกรรมที่มีชาวไต้หวันมาลงทุนทำธุรกิจในพื้นที่จำนวนมากจึงไม่เป็นเป้าสังเกต  อีกทั้งยังเป็นจุดที่มีพื้นที่เชื่อมต่อแหล่งคอลเซ็นเตอร์ในไต้หวัน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และกัมพูชา จึงง่ายต่อการเชื่อมต่อข้อมูลหากัน และนี่เป็นการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ครั้งที่ 4 หลังตำรวจท่องเที่ยวจับมือกับตำรวจมาเลเซียและกัมพูชา ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในนามเฉิน หยวนไข่ อาซื่อ อาหวัง และนายฉีเกอ มาได้ก่อนหน้านี้ เพียง 2 เดือน
        พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท.ยังกล่าวอีกว่า  ความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ พร้อมคณะทำงานปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้เข้าหารือกับผู้บัญชาการตำรวจมณฑลฝูเจี้ยน เพื่อประสานข้อมูลที่ตำรวจไทยได้แกะรอยข้อมูลของแก๊งดังกล่าวนี้มาโดยตลอด และการทำงานในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจมณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นอย่างดีจนทำให้เราสามารถขยายผลจนจับกุมผู้ต้องหาได้ยกแก๊ง และจะประสานกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอขยายผลจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องอีกและขอส่งตัวคนไทยทั้งหมดกลับประเทศไทยเพื่อดำเนินคดีต่อไปถือเป็นการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใกล้มาถึงจุดจบแล้ว เหลือกลุ่มที่เป็นเครือข่ายอีกไม่กี่กลุ่มซึ่งตำรวจมีข้อมูลอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ศูนย์ป้องกันและปรามปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดปฏิบัติการกวาดล้างผู้ต้องหาตามหมายจับคดีคอลเซ็นเตอร์ ที่หลบหนีการจับกุมตามหมายจับที่พนักงานสอบสวนทั่วประเทศได้ดำเนินการออกหมายจับไว้ถึงปัจจุบัน (27 มี.ค.61)
มีจำนวนทั้งสิ้น ​​429 ​หมาย
จับกุมไปแล้ว ​​250​ หมาย​ผู้ต้องหาอยู่ต่างประเทศรอการส่งกลับ 67 ราย
คงเหลือ​​​ 112 ​หมาย ​(ไม่มีคุณภาพ 26 หมาย)
คงเหลือจำนวนทั้งสิ้น​  86 ​หมาย​

​หากประชาชนท่านใดมีเบาะแสคนร้ายตามหมายจับ สามารถแจ้งข้อมูลมาได้ที่
ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ตั้งอยู่ที่ ชั้น ๑ อาคาร ๑ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถนนพระรามที่ ๑ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
สายด่วน ๑๑๕๕ หมายเลขโทรศัพท์ ๐ ‭๒๒๕๑ ๙๗๙๓‬  หมายเลขโทรสาร ๐ ‭๒๒๕๒ ๗๘๘๑‬
ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน  สายด่วน ๑๗๑๐
ตั้งอยู่ที่ ชั้น ๑ เลขที่ ๔๒๒ ถนน พญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร   
​“ในกรณีที่รู้ตัวว่าถูกหลอกลวง ขอให้แจ้งสายด่วน ๑๑๕๕ และ ๑๗๑๐ โดยเร็วที่สุด”